สัมภาษณ์คุณวัฒนา เจริญศักดิ์วัฒนา ปั้น “สุพรีมทีม”
เจาะตลาดไฮเอนด์
แม้ไม่อาจเทียบได้กับยักษ์ใหญวงการพัฒนาที่ดิน แต่ประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน 16 ปี หลังตัดสินใจ แตกไลน์จากธุรกิจอะไหล่รถยนต์นำเข้า ก้าวเข้าสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ปี 2536 “สุพรีม ทีม” จึงไม่ใช่น้องใหม่ในวงการเพราะมีผลงานการพัฒนาโครงการแนวสูงภายใต้แบรนด์ “สุพรีม” เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนโดยเฉพาะหลายต่อหลายโครงการในทำเลใจกลางเมือง
สิบกว่าปีที่ผ่านมากล่าวได้ว่า “สุพรีม ทีม” ค่อนข้างจะโลว์โปรไฟล์ ทำให้แบรนด์นี้ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก แต่จากนี้ไปบริษัทมีนโยบายที่จะทำตลาดในเชิงรุก และพร้อมจะเปิดตัวมากขึ้น “วัฒนา เจริญศักดิ์วัฒนา” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีม ทีม จำกัด ในฐานะทายาทรุ่นที่สองที่เข้ามารับไม้ต่อให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางธุรกิจอสังหาฯในอนาคตขององค์กรแห่งนี้
เริ่มด้วยการขยายความถึงที่มาของชื่อ “สุพรีม ทีม” ว่าเป็นเพราะต้องการสร้างสรรค์โปรดักต์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และสร้างความแตกต่างให้ลูกค้ารู้สึกได้ เพราะเพียงแค่ชื่อก็บอกชัดเจนในตัว
“วัฒนา” บอกว่า เดิมครอบครัวทำธุรกิจหลักนำเข้าอะไหล่รถยนต์จากต่างประเทศ แต่คุณพ่อ (ศิริชัย เจริญศักดิ์วัฒนา) และญาติๆ สนใจในธุรกิจอสังหาฯ และชอบสะสมที่ดินอยู่แล้ว เมื่อเห็นมีความพร้อมระดับหนึ่งจึงตัดสินใจเข้ามาทำตลาดจริงจัง โดยฟอร์มทีมงานประกอบด้วยญาติและเพื่อนๆ ที่อยู่ในแวดวงวิศวะ-สถาปนิก จัดตั้งบริษัท สุพรีม ทีม จำกัด ขึ้นมา
ประเดิมด้วยการพัฒนาคอนโดฯ โลว์ไรส์ 8 ชั้น สุพรีม เพลส ในซอยเย็นอากาศ 2 มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 54 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท โดยวางคอนเซ็ปต์โครงการแตกต่างไปจากคอนโดฯ ในเมืองที่มีอยู่ในตลาดเวลานั้น ซึ่งส่วนใหญ่พื้นที่ใช้สอยมีขนาดเล็ก และคนมักใช้เป็นบ้านหลังที่สอง สุพรีม ทีม จึงออกแบบคอนโดฯ ให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 45 ตร.ม. เป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น ระดับราคาขาย 4 ล้านบาท เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกเหมือนได้อยู่ในบ้านเดี่ยว หลังลอนช์ออกสู่ตลาด ในปี 2538 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเหนือความคาดหมาย
ปี 2539 สุพรีม วิลล์ จึงเกิดขึ้นตามมา โครงการนี้เน้นที่การออกแบบและวางผังโครงการโดยให้ความสำคัญกับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอีก มีทั้งหมด 2 อาคาร 110 ยูนิต เป็นห้องชุดขนาด 68 ตร.ม. 1 ห้องนอน ราคายูนิตละ 5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าโครงการแรก
“เปิดการขายสุพรีม วิลล์ ได้ไม่นาน ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ช่วงนั้นเราประสบปัญหาเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น แต่โชคดีที่ยังขายโครงการได้หมด จากนั้นจึงหยุดรอจังหวะเพื่อให้เศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาฯ ฟื้นก่อน”
“วัฒนา” ย้อนอดีตอีกว่า หลังชะลอลงทุนมานานหลายปี ปี 2545 ทิศทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน บริษัทเห็นว่าพร้อมที่จะรุกตลาดอีกครั้ง จึงผุดโครงการสุพรีม คลาสสิก คอนโดฯ พรีเมี่ยม โดยจับกลุ่มลูกค้าระดับบนอีกโครงการหนึ่งสูง 8 ชั้น เป็นที่พักอาศัย 7 ชั้น ชั้นละ 2 ยูนิต รวมทั้งหมด14 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยยูนิตละ 320 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นยูนิตละ 15 ล้านบาท เพราะมองเห็นช่องว่างทางการตลาด เนื่องจากเวลานั้นไม่มีผู้ประกอบการรายใดออกโปรดักต์ตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้ากลุ่มนี้
จากนั้นเป็นโครงการสุพรีม อิลิแกนซ์ ในทำเลถนนจันทน์ ไซซิ่ง ยังใหญ่เหมือนเดิม โดยเริ่มต้นที่ 180 ตร.ม.ราคา เริ่มต้น 8 ล้านบาท มีทั้งหมด 35 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท สำหรับโครงการนี้ไซซิ่ง เล็กลงกว่าสุพรีม คลาสสิก และใส่ความเป็นโมเดิร์นเข้าไปมากขึ้น
และเพิ่งจะเปิดตัวโครงการสุพรีม การ์เด้น ในซอยเย็นอากาศ 1 บนพื้นที่ 2 ไร่เศษ โดยกันพื้นที่เป็นส่วนของตัวอาคาร 1 ไร่ อีก 1 ไร่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ห้องชุดแต่ละห้องมีพื้นที่ใช้สอย 270 ตร.ม. จำนวนทั้งหมด 22 ยูนิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 25 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดขาย
นอกจากโครงการแนวสูงที่ สุพรีม ทีม โฟกัสเฉพาะทำเลใจกลางเมืองโดยเฉพาะแล้ว โปรเจ็กต์ แนวราบเป็นทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น และโฮมออฟฟิศ บนพื้นที่ 10 ไร่ ย่านอ่อนนุช ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ สุพรีม ที่เป็นพรีเมี่ยม ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.9 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 40% ส่วนโครงการอื่นๆ มีคอนโดฯ D-ONE ซอยอ่อนนุช 74/1 ที่กำลังเตรียมพัฒนา กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่ม B+ และ A
“วัฒนา” เผยว่า นโยบายหลักๆ ของบริษัทคือการพัฒนาโปรดักต์ที่มีความแตกต่าง และเป็นพรีเมี่ยม แต่จากนี้ไปจะขยายไปสู่ตลาดที่เป็นแมสมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปลักษณ์การดีไซน์ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง วัสดุตกแต่ง และการบริการหลังการขาย ขณะเดียวกันก็พยายามมองหาช่องว่างทางการตลาดเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ ในอนาคตพร้อมๆ กันไปด้วย
อ้างอิง http://www.thaicontractors.com